วันที่นำเข้าข้อมูล 1 ส.ค. 2568
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 1 ส.ค. 2568
1.1 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 สำนักสถิติและบัญชีกลางไต้หวันรายงานว่า GDP ไต้หวันประจำไตรมาสแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 5.48 โดยมีปัจจัยจากการส่งออกสินค้าในอุตสาหกรรม ICT เซมิคอนดักเตอร์ และ AI ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ในภาพรวมของปี 2568 สำนักสถิติฯ ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของ GDP จากร้อยละ 4.3 (ที่เคยคาดการณ์ไว้ เมื่อเดือน ก.พ. 2568) เหลือร้อยละ 3.1 โดยมีปัจจัยสำคัญจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
1.2 มูลค่าการค้า กระทรวงการคลังไต้หวันรายงานว่า การส่งออกของไต้หวัน ระหว่างเดือน ม.ค. - มิ.ย. 2568 มีมูลค่ารวม 283,259 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.91 จากปี 2567 ทั้งนี้ การส่งออกในเดือน มิ.ย. 2568 มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 53,323 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าและขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 20 โดยเป็นผลมาจากความต้องการด้านสินค้าเทคโนโลยี AI และ High Performance Computing (HPC) ที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนการเร่งสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าจากความกังวลด้านนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่ารวม 227,560 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.49 ทำให้ไต้หวันได้เปรียบดุลการค้ารวมมูลค่า 55,599 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 54.32 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567
1.3 การลงทุน จากสถิติของ กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวันพบว่า การลงทุนของไต้หวันในต่างประเทศ (ยกเว้นจีน) ระหว่างเดือน ม.ค. - มิ.ย. 2568 มีมูลค่ารวม 18,311 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 24.29 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนในจีนยังลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 6 เดือนแรก มีมูลค่ารวม 574 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 62.86 จากช่วงเดียวกันของปี 2567 ทั้งนี้ ไต้หวันมีการลงทุนมากที่สุดในสหรัฐฯ รองลงมาได้แก่ สิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น ขณะที่การลงทุนในประเทศกลุ่มเป้าหมาย New Southbound Policy (NSP) มุ่งเน้นไปที่สิงคโปร์ รองลงมา ได้แก่ เวียดนาม ไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ อนึ่ง การลงทุนจากต่างประเทศในไต้หวันมีมูลค่ารวม 7,365 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากสหราชอาณาจักร สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
1.4 สถานการณ์เงินเฟ้อ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จากรายงานของ กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวัน ในเดือน มิ.ย. 2568 อยู่ที่ 109.19 ลดลงจากร้อยละ 1.55 ในเดือน พ.ค. 2568 และอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับเฝ้าระวังของธนาคารกลางไต้หวัน (ร้อยละ 2) อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากไต้ฝุ่นดานัส ได้ส่งผลให้ค่า CPI ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น เนื่องจากได้สร้างความเสียหายต่อพื้นที่การเกษตรและทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้น
1.5 สถานการณ์การจ้างงาน อัตราการว่างงานเฉลี่ย ระหว่างเดือน ม.ค. - มิ.ย. 2568 อยู่ที่ร้อยละ 3.33 ลดลงร้อยละ 0.03 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีผู้ว่างงานทั้งสิ้น 4.04 แสนคน ขณะที่มีการจ้างงานทั้งสิ้น 11.61 ล้านตำแหน่ง
2.1 การขยายโครงการฝึกงานของนักศึกษาต่างชาติในภาคบริการ เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานซึ่งอุตสาหกรรมการบริการของไต้หวันกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานกว่า 5,000 - 6,000 คน โดยตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค. 2568 สำนักงานการท่องเที่ยวไต้หวัน ประกาศขยายคุณสมบัติของนักศึกษาต่างชาติที่สามารถฝึกงานในภาคบริการ ให้ครอบคลุมนักศึกษาสาขากีฬาและสันทนาการ การจัดการ ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน จากเดิมที่เคยเปิดรับเฉพาะนักศึกษาสาขาการโรงแรม ศิลปะการประกอบอาหาร และการท่องเที่ยว ทั้งนี้ นักศึกษาที่ประสงค์จะฝึกงานในไต้หวันต้องลงทะเบียนเรียนในสถาบันการศึกษาที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการไต้หวัน และต้องผ่านการศึกษาแล้วอย่างน้อย หนึ่งภาคการศึกษา เพื่อป้องกันมิให้มีการปลอมตัวเป็นนักศึกษาเพื่อเข้ามาทำงานในไต้หวัน นอกจากนี้ ผู้สมัครทุกคนจะต้องผ่านการสัมภาษณ์กับกระทรวงต่างประเทศไต้หวัน ด้วยทุกกรณี
2.2 สภาบริหาร คณะรัฐมนตรีไต้หวัน อนุมัติการใช้งบประมาณ 27,000 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน ในระยะเวลา 6 ปี เพื่อเปิดให้บริการเครือข่ายไร้สาย 6G เชิงพาณิชย์ภายในปี 2573 เพื่อส่งเสริมบทบาทที่เข้มแข็งของไต้หวันในด้านการสื่อสารอัจฉริยะ โดยการใช้งบประมาณจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยี 6G การสื่อสารผ่านดาวเทียม การวิจัยและพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์เพื่อใช้ในอุปกรณ์ด้านการสื่อสารแห่งอนาคต ตลอดจนการบูรณาการเทคโนโลยี 6G กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การแพทย์ทางไกล และการขนส่งอัจฉริยะ รวมทั้งการส่งเสริมให้ไต้หวันสามารถพึ่งพาตนเองในการพัฒนา hardware และ software ด้าน 6G รวมทั้งการสร้างระบบสื่อสารดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) โดยใช้วัตถุดิบด้านการผลิตภายในไต้หวันให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 80
2.3 การประกาศโครงการ Ten Major AI Infrastructure Projects เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรม AI ให้ได้มากกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน (5.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในปี 2583 และสร้างงาน 500,000 ตำแหน่ง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ (1) เทคโนโลยี Silicon Photonics ซึ่งใช้ซิลิคอนเป็นวัสดุพื้นฐานในการสร้างวงจรประมวลผลและส่งข้อมูลด้วยแสง เพื่อเพิ่มความเร็วในการประมวลผลและส่งผ่านข้อมูล (2) Quantum Technology รวมทั้งการสร้าง Quantum Computer ที่มีประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงสุดในระดับโลก และ (3) เทคโนโลยีหุ่นยนต์อัจฉริยะ (AI Robotics) นอกจากนี้ ภายใต้แผนดังกล่าว รัฐบาลไต้หวันยังต้องการจะพัฒนานวัตกรรม AI ที่เป็นของตนเอง (Sovereign AI) รวมทั้งสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์และ AI ที่ครบวงจรในทั่วทุกภูมิภาคและในทุกสาขาอุตสาหกรรมของไต้หวัน รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนเพื่อระดมทุนด้านการพัฒนา AI กว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวัน โดยมีแผนจะจัดตั้งสถาบันวิจัยนานาชาติด้าน AI อีก 3 แห่งเพื่อรองรับการก้าวไปเป็นผู้นำด้าน AI ในระดับโลก
2.4 การตั้งกลุ่มพันธมิตรหุ่นยนต์ (AI Robotics Alliance) โดยหน่วยงานด้านนวัตกรรม 6 หน่วยงาน ได้แก่ (1) Taiwan Automation Intelligence and Robotics Association (TAIROA) (2) Taiwan Machine Tool and Accessory Builder's Association (TMBA) (3) Taiwan Association of Machinery Industry (TAMI) (4) Taiwan Electrical and Electronic Manufacturers' Association (TEEMA) (5) Taipei Computer Association (TCA) และ (6) Cloud Computing and IoT Association in Taiwan (CIAT) เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และเทคโนโลยี AI ในไต้หวัน โดยมีเป้าหมายในการสร้างอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ AI ของไต้หวันให้มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน (3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในปี 2573 มุ่งเน้น 8 สาขาหลัก ได้แก่ การใช้หุ่นยนต์เพื่อการดูแลสุขภาพ การขนส่ง การเกษตร การผลิต การบริการในร้านอาหาร การดูแลผู้สูงอายุ การบรรเทาภัยพิบัติ และการลาดตระเวน
3.1 การค้า การค้าระหว่างไต้หวัน - ไทย ระหว่างเดือน ม.ค. - มิ.ย. 2568 มีมูลค่ารวม 10,085 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[1] ไต้หวันส่งออกมาไทย 6,849 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากไทย 3,237 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยเป็นคู่ค้าลำดับที่ 12 ของไต้หวัน ขณะที่สินค้าส่งออกจากไต้หวันมาไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า (5,276 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) (2) แร่โลหะ (553 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ (3) พลาสติกและยาง (265 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สินค้านำเข้าจากไทยไปไต้หวัน 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า (1,992 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) (2) อาหารปรุงสำเร็จ เครื่องดื่ม สุรา น้ำส้มสายชู และยาสูบ (206 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ (3) พลาสติกและยาง (175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
3.2 การลงทุน กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวัน ระบุว่า ในช่วงเดือน ม.ค. - มิ.ย. 2568 มีโครงการลงทุนของไต้หวันในไทยที่ได้รับการอนุมัติแล้วจำนวน 41 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 533.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.73 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า) อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด ได้แก่ (1) การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (203.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) (2) การผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก (87.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) (3) การผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ (68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขณะที่มีโครงการลงทุนจากไทยไปไต้หวันจำนวน 23 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 1.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ลดลงร้อยละ 77.99) อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด ได้แก่ (1) การค้าส่งและค้าปลีก (7.1 แสนดอลลาร์สหรัฐ) (2) ด้านบริการทางวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และทางเทคนิค (3.9 แสนดอลลาร์สหรัฐ) (3) การเงินและการประกันภัย (5.2 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ)
3.3 แรงงาน จากข้อมูลของกระทรวงแรงงานไต้หวัน พบว่า เดือน มิ.ย. 2568 มีจำนวนแรงงานไทยในไต้หวันทั้งสิ้น 69,839 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.34 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นร้อยละ 8.27 ของแรงงานต่างชาติทั้งหมด
3.4 ด้านการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาไทย รายงานว่า ในช่วงเดือน ม.ค. - มิ.ย. 2568 นักท่องเที่ยวไต้หวันเดินทางมาไทย จำนวน 499,806 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ร้อยละ 6.28 (ปี 2567 จำนวน 533,280 คน) ขณะที่กรมการท่องเที่ยวไต้หวัน ระบุว่า ในเดือน ม.ค. - พ.ค. 2568 มีนักท่องเที่ยวจากไทยไปไต้หวัน จำนวน 178,215 คน ลดจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ร้อยละ 5.76 (เดือน ม.ค. - พ.ค. 2567 จำนวน 188,481 คน)
ผลการเจรจามาตรการภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับไต้หวันจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของไต้หวันในช่วงปลายปี 2568 แม้ว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ความต้องการในการสั่งซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ล่วงหน้าจะทำให้การส่งออกของไต้หวันขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ขยายตัวถึงร้อยละ 51.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ล่าสุด มีรายงานว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว (ช่วงวันที่ 25 ก.ค. 2568) คณะเจรจาภาษีของไต้หวัน นำโดย รองนายกรัฐมนตรี เจิ้ง ลี่จวิน ได้เดินทางไปสหรัฐฯ เป็นครั้งที่ 4 เพื่อเจรจาโค้งสุดท้ายก่อนที่สหรัฐฯ กำหนดจะใช้อัตราภาษีใหม่ ในวันที่ 1 ส.ค. 2568 โดยไต้หวันหวังจะใช้การลงทุนเพิ่มเติมของบริษัท TSMC ในสหรัฐฯ มูลค่า 165,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เป็นแต้มต่อเพื่อให้ได้อัตราภาษีที่ได้เปรียบญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ รวมทั้งมีแผนจะขยายการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯ จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 20 - 30 ด้วย
5.1 โดยที่ไทยเป็นฐานการลงทุนด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญของไต้หวัน ไทยสามารถส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจให้ยิ่งใกล้ชิด เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำ best practices ด้านการพัฒนาด้านนวัตกรรมรูปแบบของไต้หวัน ทั้งในด้านการพัฒนา AI เทคโนโลยี 6G เทคโนโลยีควอนตัม และ AI Robotics (ตามข้อ 2.2 - 2.4) มาใช้เพื่อยกระดับกระบวนทัศน์การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง/นวัตกรรมของไทย โดยเฉพาะการชักจูงการลงทุนที่มีศักยภาพจากไต้หวัน โดยที่ผ่านมาประเทศไทยอยู่ในจอเรดาร์ของไต้หวันในด้านการลงทุนมายาวนาน มีฐานความสัมพันธ์ในระดับประชาชนที่ใกล้ชิด โดยมีชาวไต้หวันพำนักและดำเนินธุรกิจในไทยกว่า 1.5 แสนคน รวมทั้งมีห่วงโซ่การผลิตที่ครบวงจรสำหรับอุตสาหกรรมไต้หวัน ภายใต้เงื่อนไขความจำเป็นในการขยายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยิ่งทวีความตึงเครียดมากขึ้น
5.2 ประเทศไทยสามารถเรียนรู้และปรับใช้แนวทางของไต้หวันในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมขั้นสูงข้างต้น ผ่านแนวทางความร่วมมือกับหน่วยงานด้านการวิจัยและพัฒนาของไต้หวัน โดยในเดือน ส.ค. 2568 สำนักงานการค้าฯ มีโครงการจะนำหน่วยงานด้านนวัตกรรมของไต้หวัน 4 หน่วยงาน[2] เยือนไทย เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายกับหน่วยงานของไทย และเป็นรากฐานในการส่งเสริมความร่วมมือในอนาคต โดยมีแนวคิดสำคัญ คือ ไทยมี hardware ด้านโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน และสายพานการผลิตที่ดีแล้ว แต่จำเป็นต้องเร่งสร้าง software คือ บุคลากร เพื่อสนับสนุนและรองรับการลงทุนจากไต้หวัน
5.3 นอกจากนี้ ในระยะสั้นการเพิ่มจำนวนนักศึกษาไทยในไต้หวันเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการส่งเสริมโอกาสและความพร้อมของไทยในการเป็นฐานการลงทุนและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากไต้หวันมายังประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่า ไทยกับไต้หวันได้ลงนาม “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาเทคนิค อาชีวศึกษา และการฝึกอบรม” ซึ่งมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2568 โดยมีขอบเขตความร่วมมือ
ในสาขาการพัฒนาทักษะและศักยภาพของผู้เรียนด้านอาชีวศึกษาของไทย การเตรียมพร้อมสู่การประกอบอาชีพ ตลอดจนการส่งครูชาวไต้หวันมาสอนในสถาบันอาชีวศึกษา รวมทั้งการส่งเสริมการฝึกงานในไต้หวันซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาบุคลากรไทย อาทิ สาขาวิศวกรรม ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า การบำรุงรักษาอากาศยาน หุ่นยนต์ เทคโนโลยีสารสนเทศ นวัตกรรม การเกษตร อาหารและโภชนาการ และการท่องเที่ยว กอปรกับนโยบายการขยายโครงการฝึกงานของนักศึกษาต่างชาติในภาคบริการของไต้หวัน (ตามข้อ 2.1) ยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาไทยได้เข้าไปเก็บเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานที่ไต้หวันได้
5.4 ความชัดเจนด้านอัตราภาษีของสหรัฐฯ ต่อไทย เป็นปัจจัยสำคัญต่อนักลงทุนไต้หวันที่กำลังตัดสินใจลงทุนในเวลานี้ ขณะที่ภาคเอกชนไต้หวันที่ลงทุนในไทยอยู่แล้ว โดยเฉพาะอุตสาหกรรม PCB ที่เข้ามาลงทุนในไทยทั้งห่วงโซ่การผลิต อาจได้รับผลกระทบไม่มากนักจากอัตราภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากสัดส่วนการผลิตที่ประเทศไทยและส่งออกไปสหรัฐฯ โดยตรงอยู่ที่เพียงราวร้อยละ 4.1 เท่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการส่งออกไปที่โรงงานประกอบสินค้าในประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น มาเลเซีย จีน และเกาหลีใต้ นอกจากนี้ อุตสาหกรรม PCB น่าจะยังต้องขยายตัวในอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไม่สามารถใช้จีนเป็นฐานการผลิตได้ต่อไป รวมทั้งการกระชับความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ภายใต้แนวนโยบาย Taiwan + 1 ของทางการไต้หวัน โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากตลาดสหรัฐฯ และระบบการค้าโลกหลังจากนี้
[1] ไทยขาดดุลการค้าต่อไต้หวันราว 3,612 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
[2] (1) Industrial Technology Research Institute (ITRI) ทำหน้าที่ศึกษาวิจัยและกำหนดสาขาการพัฒนา รวมทั้งวางโครงสร้างอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสำหรับไต้หวัน (2) Taipei Computer Association (TCA) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) รวมทั้งอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงของไต้หวันทั้งด้าน software และ hardware (3) Institute for Information Industry (III) ซึ่งมีบทบาทสนับสนุนการพัฒนานโยบายด้าน ICT และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และ (4) Taiwan External Trade Development Council (TAITRA) ซึ่งทำหน้าที่ในการสร้างเครือข่ายศึกษาวิจัยอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ และส่งเสริมการส่งออกสินค้าไต้หวันในต่างประเทศควบคู่กันไปอย่างครบวงจร/ไร้รอยต่อ